ประวัติศาสตร์การศึกษาพระอภิธรรมในสยามประเทศ: จาก “ไตรภูมิพระร่วง” สู่มหาวิทยาลัย
การศึกษาพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นธรรมะชั้นสูงที่ว่าด้วยปรมัตถธรรม 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจในประเทศไทย ผ่านยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง ความซบเซา และการฟื้นฟูครั้งสำคัญ จนกลายเป็นรากฐานการศึกษาพระพุทธศาสนาที่สำคัญในปัจจุบัน
ยุคบุกเบิก: แสงแห่งพระอภิธรรมในอาณาจักรสุโขทัย
การศึกษาพระอภิธรรมในดินแดนไทยปรากฏหลักฐานชัดเจนที่สุดในสมัยกรุงสุโขทัย โดยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงปรีชาญาณเป็นผู้นำ
- พ.ศ. 1896: พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่งของไทยคือ “เตภูมิกถา” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไตรภูมิพระร่วง”
- เจตนารมณ์: พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์เพื่อรักษาแก่นแท้ของพระอภิธรรม และเพื่อถวายพระธรรมเทศนาแด่พระราชมารดา รวมถึงสั่งสอนประชาชนให้เข้าใจเรื่องภพภูมิทั้ง 31, กฎแห่งกรรม, และสภาวธรรมอันได้แก่ จิต เจตสิก รูป อันเป็นหัวใจของพระอภิธรรม จนถึงเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน
- ความสำคัญ: “ไตรภูมิพระร่วง” จึงเปรียบเสมือน ตำราพระอภิธรรมฉบับประชาชนเล่มแรกของไทย ที่ย่อยเนื้อหาอันลึกซึ้งให้เข้าใจง่ายผ่านเรื่องราวของภพภูมิต่างๆ และเป็นรากฐานทางความคิดความเชื่อของคนไทยมาอย่างยาวนาน
ยุคประยุกต์ใช้: เสียงสวดพระอภิธรรมในกรุงศรีอยุธยา
เมื่อเข้าสู่สมัยกรุงศรีอยุธยา การศึกษาพระอภิธรรมในเชิงลึกดูเหมือนจะลดน้อยลง แต่ได้ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การปฏิบัติในเชิงพิธีกรรม
- หลักฐาน: พบว่ามีการนำบทสวดในพระอภิธรรม 7 คัมภีร์มาใช้ใน พิธีกรรมบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ หรือที่เรียกกันว่า “สวดหน้าศพ” ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
- สถานการณ์: เนื่องจากเนื้อหาที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจ การศึกษาในเชิงปริยัติจึงจำกัดอยู่ในวงแคบ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาในทุกแขนงหยุดชะงักลงชั่วคราว
ยุคฟื้นฟู: การวางรากฐานใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อบ้านเมืองกลับสู่ความสงบในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีความพยายามในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการศึกษาพระอภิธรรมด้วย
- รัชกาลที่ 1: พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้มีการ สังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 9 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เพื่อชำระตรวจสอบพระธรรมวินัยให้ถูกต้องสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงพระอภิธัมมปิฎกด้วย เป็นการวางรากฐานการศึกษาพระศาสนาให้มั่นคงสืบไป
- ต้นรัชกาลที่ 5: การศึกษาพระอภิธรรมเริ่มกลับมาจริงจังอีกครั้ง มีการพิมพ์หนังสือสำคัญ เช่น “อภิธัมมัตถสังคหะแปลร้อยอย่างพิศดาร” แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ชนชั้นนำและผู้ใฝ่รู้
ยุคทองแห่งการปฏิวัติการศึกษา: อิทธิพลจากเมียนมาสู่สยาม 🇲🇲🇹🇭
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของการศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 โดยได้รับอิทธิพลและองค์ความรู้โดยตรงจากประเทศเมียนมา (พม่า) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระอภิธรรมที่เข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
- พ.ศ. 2475: พระอาจารย์ภัททันตวิลาสะ พระเเถระชาวพม่าแห่งวัดปรก ยานนาวา ได้ริเริ่มการสอนวิปัสสนากรรมฐานตามนัยแห่งพระอภิธรรม ทำให้เกิดศิษย์คนสำคัญคือ อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ อุบาสิกาผู้แตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติ
- พ.ศ. 2490: การสอนพระอภิธรรมถูกจัดตั้งเป็นระบบชั้นเรียนที่ชัดเจนขึ้น ณ วัดระฆังโฆสิตาราม โดยความร่วมมือของท่านเจ้าคุณพระภาวนาภิรามเถระ, อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ และอาจารย์สาย สายเกษม
- พ.ศ. 2492 (จุดเปลี่ยนสำคัญ): รัฐบาลไทยโดยการประสานงานของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภเถระ) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม แห่งวัดมหาธาตุฯ ได้นิมนต์สุดยอดพระเถระผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมจากเมียนมา 2 รูป คือ พระอาจารย์สัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ และพระอาจารย์เตชินทะ ธัมมาจริยะ มายังประเทศไทย
- พ.ศ. 2493 – การปฏิวัติการศึกษา ณ วัดระฆังฯ: พระอาจารย์สัทธัมมโชติกะ ได้วางรากฐานการศึกษาพระอภิธรรมสมัยใหม่ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ท่านได้:
- ก่อตั้ง “อภิธรรมมหาวิทยาลัย” ขึ้น
- เขียนตำราเรียนเป็นภาษาไทย โดยใช้ “คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริจเฉท” เป็นแม่แบบ
- จัดทำหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานสากล แบ่งเป็นชั้นเรียนต่างๆ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานถึงระดับสูง คือ อภิธรรมตรี โท เอก (รวม 7 ปีครึ่ง) จนสำเร็จเป็น “อภิธรรมบัณฑิต”
- ริเริ่มให้มี การสอบวัดผล อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498
-
พ.ศ. 2511 – การขยายศูนย์กลางสู่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์: เมื่อการศึกษาพระอภิธรรมได้รับความนิยมมากขึ้น สถานที่ที่วัดระฆังฯ เริ่มคับแคบ ประกอบกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภเถระ) ผู้ริเริ่มโครงการ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการขยายการศึกษาให้กว้างขวางและเป็นศูนย์กลางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้มีการย้ายการเรียนการสอนหลักมายัง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และได้จัดตั้งโรงเรียน “อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย” ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระอาจารย์สัทธัมมโชติกะผู้เป็นบูรพาจารย์ การย้ายครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการศึกษาพระอภิธรรมให้เข้ามาอยู่ ณ ศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยอย่างเป็นทางการ และเป็นรากฐานสำคัญในการผนวกเข้ากับมหาวิทยาลัยสงฆ์ในเวลาต่อมา
ยุคแห่งการขยายตัว: สู่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ
จากรากฐานที่มั่นคง ณ วัดระฆังฯ การศึกษาพระอภิธรรมได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง ก่อเกิดสถาบันและสำนักเรียนที่สำคัญหลายแห่ง
- พ.ศ. 2511: อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นที่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งต่อมาได้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ทำให้วุฒิ “อภิธรรมบัณฑิต” ได้รับการรับรองเทียบเท่าปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยสงฆ์
- อภิธรรมมูลนิธิ: ก่อตั้งโดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร ร่วมกับอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีที่ทำการอยู่ตรงข้ามพุทธมณฑล
- สำนักเรียนอื่นๆ: มีการเปิดสอนในวัดสำคัญต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอีกกว่า 49 แห่ง
สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
แม้การศึกษาพระอภิธรรมจะเป็นเรื่องเฉพาะทางที่ต้องใช้ความเพียรพยายามสูง แต่ก็ยังคงได้รับการสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ศึกษาทั่วประเทศหลักพันคน และมีผู้สำเร็จการศึกษาเป็น “อภิธรรมบัณฑิต” หลายสิบท่าน การที่หลักสูตรถูกผนวกเข้ากับระบบมหาวิทยาลัยสงฆ์ ช่วยยกระดับและรับประกันมาตรฐานการศึกษาให้ดำรงอยู่ต่อไป การศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทยจึงเดินทางผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนาน จากคัมภีร์โบราณสู่การยอมรับในระบบการศึกษาแผนใหม่ เป็นมรดกทางปัญญาอันล้ำค่าของชาติสืบมา
จิรัง ติฏฐตุ สัทธัมโม
ขอพระสัทธรรมจงคงอยู่ชั่วกาลนาน

