
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการริเริ่มและนำการศึกษาพระอภิธรรมเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อปีพุทธศักราช 2494 ขณะที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมและดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ท่านได้เดินทางไปศึกษาดูงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้ประจักษ์ว่าที่นั่นมีการจัดการเรียนการสอนพระอภิธรรมอย่างแพร่หลาย ในขณะที่ประเทศไทยในขณะนั้นยังไม่มีการเรียนการสอนพระอภิธรรมอย่างกว้างขวาง
ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาพระอภิธรรม ท่านจึงได้ดำเนินการติดต่อประสานงานกับรัฐบาลเมียนมา เพื่ออาราธนา พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ พระเถระผู้ทรงความรู้ความเชี่ยวชาญด้านพระอภิธรรมปิฎกจากเมียนมา ให้เดินทางมาเปิดการเรียนการสอนพระอภิธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ วัดระฆังโฆสิตาราม
การก่อตั้งและการพัฒนาสถาบันการศึกษา:
แม้ว่าพระสัทธัมมโชติกะจะเป็นผู้ดำเนินการสอนพระอภิธรรมเป็นรูปแรก แต่การดำเนินการศึกษาในระยะแรกยังไม่มีความมั่นคงทางสถาบัน จนกระทั่งพระสัทธัมมโชติกะมรณภาพในปีพุทธศักราช 2509 เหล่าศิษยานุศิษย์จึงได้สานต่อการสอนมาโดยลำดับ และในปีพุทธศักราช 2511 ได้มีการจัดตั้ง อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยได้รับความอุปถัมภ์จากมูลนิธิสัทธัมมโชติกะ
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2524 ด้วยเมตตาธรรมและวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ในฐานะเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ ในขณะนั้น ท่านได้พิจารณาเห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับการศึกษาพระอภิธรรมให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ท่านจึงได้ดำเนินการผลักดันให้อภิธรรมโชติกะวิทยาลัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และให้ชื่อว่า “อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” โดยมีฐานะเป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อสำนักอธิการบดี การตัดสินใจดังกล่าวทำให้อภิธรรมโชติกะวิทยาลัยได้รับการรับรองจากสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างเป็นทางการ และสามารถขยายขอบเขตการเผยแผ่การเรียนการสอนพระอภิธรรมไปทั่วราชอาณาจักรจวบจนปัจจุบัน
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจอาสโภ ป.ธ.๘)
สถานะเดิม
สมเด็จพระพุฒาจารย์ นามเดิมว่า คำตา ดวงเมลเป็นบุตรคนโตของนายพิมพ์ และนางแจ้ ดวงปฏิทินวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ แรม ๔ ค่ำเดือน ๑๒ ณ บ้านโต้น ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืนจังหวัดขอนแก่น มีพี่น้องร่วมโครงการ ๔ ท่านเป็นบุตรคนโตเกิดใหม่อีกเส้นทางคือนางบี้นายเพิ่มและนางเอื้อตั้งมาอยู่วัดมหาธาตุฯ พระธรรมโลกาจารย์ (เจ้าอาวาสขณะนั้น) สามารถปรับเปลี่ยนท่านจากคำวิจารณ์ส่วนบุคคล องอาจแกลลอนกล้า
บรรพชาอุปสมบท
ในวัย ๑๔ ปีที่มีการได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีจันทร์เมืองขอนแก่น อาจารย์พระหน่อ วัดศรีจันทร์เป็นพระอุปัชฌาย์ที่มาท่านย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเพื่อพระศึกษาปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์อุปสมบทสมเป็นพระภิกษุเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๘ ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ในสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ดำรงคงอยู่สมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ญาพระณสมโพธิ ( กิตติสาโร ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระพิมลธรรม (ช้อยฐานทโต) เทคโนโลยียังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระศรีสมโพธิเป็นพระอนุสาวนาจารย์ต้องใช้ชื่อญาว่าอาสโภ
การศึกษา
ได้ศึกษาอักษรตั้งแต่ครูเป็นเณรที่ขอนแก่น
พ.ศ. ๒๔๑๑ สอบได้วิชาครูในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ปัจจุบันคือโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน)
พ.ศ. ๒๔๖๔ สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. ๒๔๖๕ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. ๒๔๖๖ สอบได้ เปรีญธรรม ๓ แปล
พ.ศ. ๒๔๖๗ สอบได้ เพรียญธรรม ๔ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๖๘ สอบได้ ปรีญธรรม ๕ แปล
พ.ศ. ๒๔๖๙ สอบได้ ปรีญธรรม ๖ คำแปล
พ.ศ. ๒๔๗๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
พ.ศ. ๒๔๗๑ สอบได้ เปรีญธรรม ๗ แปล
พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบได้เปรียญธรรม ๘ แปล
ตำแหน่งฝ่ายรับทันที
พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร
พ.ศ. ๒๔๗๖ รองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ
พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นพระคณาจารย์เพื่อคันถธุระ
พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็น เจ้าคณะตำบลสำเภาล่ม
พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็น เจ้าอาวาสวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร
พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็น เจ้าคณะแขวงบางปะหัน
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็น รองเจ้าคณะมณฑลอยุธยา
พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็น พระคณาจารย์เอกในทางคันถธุระ
พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็น สมาชิกสังฆสภา
พ.ศ. ๒๔๘๖ เป็น เจ้าคณะตรวจการภาค ๔ ซึ่งเป็นพระคณาธิการองค์แรกในตำแหน่งนี้
พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็น สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา
พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็น เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็น สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา
พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๐๓ เป็น เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร สมัยที่ ๑
พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง สมัยที่ ๒
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง สมัยที่ ๓
พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๒๕๓๒ เป็น เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็น กรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง
พ.ศ. ๒๕๓๑ – ๒๕๓๒ เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พ.ศ. ๒๕๓๑ – ๒๕๓๒ เป็น เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก
ฝ่ายการศึกษา
พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็น แม่กองธรรมสนามหลวง
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็น ทุติยสภานายกสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
เกียรติคุณ
พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นอัครมหาบัณฑิตโดยรัฐบาลพม่าได้ถวายเกียรติคุณครั้งนี้ในโอกาสที่เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปร่วมงานอัฏฐสังคายนา ที่ประเทศพม่า นับเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่ได้รับฐานันดรศักดิ์นี้
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างอาคารมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยได้รับเงินจากศาสนสมบัติกลาง เป็นทุนเริ่มแรก และเงินงบประมาณแผ่นดิน กับเงินบริจาคจากสาธุชนทั่วไป
พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นผู้ริเริ่มการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับ “มหาจุฬาเตปิฎกํ” เพื่อสนองพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดเกล้าฯ ให้พระภิกษุสามเณรได้เล่าเรียนพระไตรปิฎก
พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขามานุษยสงเคราะห์ศาสตร์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทย
พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นสังฆปาโมกข์ ฝ่ายพระอภิธรรมปิฎก ในการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐
การต้องอธิกรณ์
ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ และมีข่าวว่าพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) อยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตาหลายครั้ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้ทั้งสองรูปพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ทั้งสองรูปปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าทั้งสองรูปฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดทั้งสองรูปออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓
มาตรการในพ.ศ. สิงหาคมที่ 505 พระมหาอาจกล่าวอย่างเป็นทางการว่าเป็นคอมมิวนิสต์ว่าถูกบังคับกฎหมายที่เป็นเท็จและทนายความสอบสวนในเรื่องนี้เมื่อพ.ศ. ดิโอ๐๙ พระบาทสมเด็จพระสันตะปาปาเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระเถระทนทานรูปคืนสู่สมณศักดิ์เดิมอีก ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ในวันที่ ๑๘ คดีนี้มักจะเกิดขึ้นอีกครั้งครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งพุทธศาสนาของไทยซึ่งสร้างสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นไปทั่วโลก
มรณภาพ
พระสมเดจพุฒาจารย์ (อาจอาสโภ) อาพาธและได้ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบด้วยหัวใจวายในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๒ เวลา ๑๑.๑๕ น. ณ โรงพยาบาลสยาม กรุงเทพมหานคร สิริชนมายุได้ 8๖ ปี ๑ เดือนเดือนพรรษา ๖๖ในนี้จะตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ตมาหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุราชรังสฤษฎิ์ เป็นเวลา ๑๑ วันฉลองครบรอบ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๓๓ นำเสนอคณะเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายทุกคืนทุกวัน บางวันมีคณะเจ้าภาพหลายคณะร่วมบำเพ็ญกุศล และตลอดมาในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. โบราณ๓๓ได้ทรงพระกรุณาโปรดโปรดออกเมรุหลวงหน้าพลับพลาอิริยาภรณ์วัดเทพศิรนทราวาส
สมณศักดิ์
๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นคณะชั้นสามัญที่พระศรีสุธรรมมุนี
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นคณะชั้นราชในราชทินนามชื่อ
1 มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระราชาคณะชั้นที่พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณสุนทรธรรมภูษิตติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็น ราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ ปรีชาญาณดิลก ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ยติคณิศร บวรสังฆาราม คัมวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระพิมลธรรม มหันตคุณ วิบุล ปรีชาญาณนายก ตรีปิฏกคุณ การ์ด การภูษิตยติกิจสาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม กามวาสี
พ.ศ. ๐๓สามารถถอดจากสมณศักดิ์ได้
๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. วันที่ ๑๘ ขอทรงพระราชทานสมณศักดิ์คืน
๕ ธันวาคม พ.ศ. สมเด็จพระเจ้าพุฒาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ปรีชา อรัญปิฎกโกศล วิมลสมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คัมวาสี อรัญวาสี
วิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอ
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรม (อาจอาสโภ) ได้ส่งพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณทธิ) ส่วนที่เป็นพระมหาโชดกไปศึกษาดูสนากรรมสายของมหาสีสย่าฐานที่สำนักเลขาธิการแห่งยิสสาศึกษาในประจำปี ๑ ปีแล้วนำสอนพระภิกษุสองรูปคือพระภัทรทันตะอาสภเถระ ปธานการ์มัฏฐาจริยะ และพระอินทวังสถระ เกรมัฏฐานาจริยะโดยเปิดสอนครั้งแรกที่วัดมหาธาตุยุราชรังสฤษฎิ์ในพ.ศ. ๒๔๙๖ มาก ๆ ขยายออกไปสอนที่สาขาอื่น ๆ ทั่วราชอาณาจักรพร้อมกับตั้งกองการวิปัสสนาธุระที่มหาธาตุฯ ตรวจสอบถูกยกสถานะเป็นสถาบันวิปัสนาธุระสมาชิกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพ.ศ. ธันวาคมที่ ๒๔ ผู้เผยแพร่ข่าวของทุกปีวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-ท่าเรือโนจดังในปัจจุบัน
