พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ผู้เป็นบูรพาจารย์สอนพระอภิธรรมและร่างหลักสูตรที่ใช้ในการศึกษามาจวบจนถึงปัจจุบัน เริ่มต้นจากความเมตตาและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ขณะที่ท่านดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม ท่านได้เดินทางไปศึกษาดูการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ประเทศพม่าและประทับใจในความรุ่งเรืองของการศึกษาพระอภิธรรมที่นั่น ท่านจึงได้ติดต่อขออาราธนา พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเถระผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านพระอภิธรรมปิฎกจากรัฐบาลพม่า เพื่อเดินทางมาเป็นผู้สอนพระอภิธรรมในประเทศไทย
ประวัติพระสัทธัมมโชติกะ
สถานะเดิม
- นามเดิม: โกงวยละ
- บิดามารดา: มะ นจิง (บิดา) และ ด่อติ๊ด (มารดา)
- บ้านเกิด: ท่านถือกำเนิดที่หมู่บ้านยัวตา อำเภอเมี้ยงฉั่ง (Myingyan) ประเทศพม่า
การบรรพชาและอุปสมบท
- บรรพชา: ท่านได้เริ่มชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ด้วยการบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ณ วัดวาโซไต้ ในหมู่บ้านเกิด และได้รับฉายาว่า “สามเณรโชติกะ”
- อุปสมบท: ได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี โดยมี ท่านภัททันตะกุมาร เป็นพระอุปัชฌาย์
ปณิธานอันแรงกล้าและการบูชาพระรัตนตรัย
ในพรรษาที่ ๔ ของการอุปสมบท ท่านได้แสดงความศรัทธาอย่างสูงสุดต่อพระพุทธศาสนา ณ วิหารไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไม้จันทน์หอมปิดทองทั้งองค์ ในขณะนั้น พระน้องชายของท่านได้ตัดสินใจสละชีวิตด้วยการเผาตนเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่พระสัทธัมมโชติกะได้กล่าวว่า ท่านปรารถนาที่จะใช้ร่างกายและสมองนี้ให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากกว่าจะทำลายมัน จากนั้นท่านได้แสดงปณิธานอันแน่วแน่ด้วยการ ตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายของตนเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แทนการสละชีวิต
การศึกษา
ท่านมีความมุ่งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างมาก หลังจากศึกษาชั้นต้นจากพระอุปัชฌาย์แล้ว ท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ วัดตูมองไต้ย่านอมรปุระ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้สำคัญในพม่าในขณะนั้น และได้สั่งสมความรู้จนเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระอภิธรรมปิฎก นอกจากนี้ ท่านยังมีโอกาสเข้าร่วมการ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๖ ที่เมืองย่างกุ้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสำคัญเพื่อชำระและสังคายนาพระไตรปิฎกให้บริสุทธิ์
ผลงาน
- การรจนาตำรา: ท่านได้รจนาตำราพระอภิธรรมสำหรับใช้ในการเรียนการสอนในประเทศไทยเป็นภาษาไทยเล่มแรก ๆ ได้แก่ “พระอภิธรรมสังคณีมาติกา” (พ.ศ. ๒๔๙๒) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกหลังจากเดินทางมาถึง และในอีกสองปีต่อมาได้เรียบเรียงคัมภีร์ “มหาปัฏฐาน”, “ธาตุกถา”, และ “ยมกเบื้องต่ำ ๕ ยมก”
- การก่อตั้งสถาบัน: ท่านได้ริเริ่มก่อตั้ง “อภิธรรมมหาวิทยาลัย” ขึ้นที่วัดระฆังโฆสิตารามในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยมีหลักสูตรการศึกษาพระอภิธรรมแบ่งเป็นชั้นตรี โท และเอก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาพระอภิธรรมอย่างเป็นระบบในประเทศไทย
รางวัลและเกียรติคุณ
แม้จะไม่มีข้อมูลการได้รับรางวัลอย่างเป็นทางการ แต่เกียรติคุณสูงสุดของท่านคือการได้รับตำแหน่ง “ธัมมาจริยะ” จากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับจากรัฐบาลและเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เพราะแสดงถึงการที่ท่านได้รับการยอมรับในระดับประเทศว่าเป็น ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาผู้มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เกียรติคุณที่สำคัญอีกอย่างคือการได้รับการยกย่องให้เป็น “บูรพาจารย์พระอภิธรรม” ผู้ซึ่งได้วางรากฐานอันสำคัญของการศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทยจวบจนถึงปัจจุบัน
การมรณภาพ
พระสัทธัมมโชติกะได้มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ สิริอายุ ๕๓ ปี โดยท่านได้ใช้ชีวิตในประเทศไทยเพื่อเผยแผ่พระอภิธรรมเป็นระยะเวลา ๑๗ ปี เพื่อสืบสานปณิธานของท่าน คณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันก่อตั้ง อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปัจจุบัน นอกจากนี้ เพื่อรำลึกถึงพระคุณของท่านในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาล คณะศิษย์ยังได้ร่วมกันจัดสร้าง รูปจำลองแกะสลักจากหินหยกขาวขนาดเท่าองค์จริง ตั้งไว้ ณ วัดวาโซไต้ ซึ่งเป็นวัดที่ท่านบรรพชา เพื่อประกาศเกียรติคุณให้ชาวพม่าได้รับรู้

